Wednesday, June 15, 2011

Worship and Mission

如 何 敬 拜 ?

ข้าพระองค์ควรจะนมัสการอย่างไร





ข้าพระองค์(ฉัน)ควรจะนมัสการอย่างไร
     การนมัสการที่แท้จริงได้ถูกเปิดเผยแล้วในพระวจนะของพระเจ้า

พันธกิจในชีวิตของคุณ

วัตถุประสงค์
1.เพื่อแสดงให้เห็นว่า การนมัสการพระเจ้าของคริสเตียนจะไม่ สมบูรณ์จนกว่าสาเร็จด้วยการกระทา หรือเรียกว่า
“พันธกิจ”
2.เพื่อชี้แนะให้เห็นว่า คริสตจักรละเลยต่อการตอบสนองต่อพระมหาบัญชา
3.เพื่อท้าทายและให้ข้อมูลแก่คริสตจักร ถึงโอกาสรับใช้ในงานพันธกิจของประเทศไทย ขยายออกไปในภูมิภาค
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนทั่วโลก

ความหมาย: Webster's New Lexicon Dictionary ได้ให้ความหมายสำหรับคำว่า "มิ
ชชั่น" แต่เพื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของเรา
พันธกิจ หมายถึง "เป้าหมายในชีวิต ซึ่งมาจาก ความเชื่อแน่ใจในการทรงเรียกของพระเจ้า"

ความสาเร็จในชีวิตของคุณ

    ทุกคนกาลังแสวงหาความสาเร็จในชีวิต ซึ่งความปราถนาเพื่อจะมีความสาเร็จนี้เป็นแรงกระตุ้นสาคัญไม่ว่าในการกระทาใดๆของมนุษย์และไม่สามารถที่จะแยกความปรารถนาความสำเร็จออกจากความสุขที่แท้จริงได้ แม้กระทั่งไม่สามารถแยกความสำเร็จออกจากการนมัสการ (ในสิ่งหรือใครที่เรานมัสการ) เพราะว่าเราจะประเมินทุกสิ่งที่เราพบเจอว่าสิ่งนั้นจะมีประโยชน์ต่อความสำเร็จของเราและความพึงพอใจในสิ่งที่เราแสวงหาหรือไม่
   การที่คนเรามีความเข้าใจและแสดงการนมัสการของเขา (ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้หรือพระอื่นๆ ที่สร้างขึ้นมา) เป็นปัจจัยที่มีส่วนในทุกสิ่งที่เขาคิดหรือทำ ในชีวิตผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ การนมัสการพระเจ้าเป็นการบรรลุเป้าหมายชีวิตพวกเขา และการทำพันธกิจนั้นเป็นการบรรลุเป้าหมายของการนมัสการ


อิสยาห์ 6:1-8
หนึ่งเรื่องราวในพระคัมภีร์เดิม มีภาพที่สมบูรณ์ของการนมัสการ ซึ่งให้หลักการ 3 อย่างแก่เราที่จะติดตามพระเจ้าในฐานะที่เรานมัสการพระองค์
  • การสำแดงของพระเจ้า ข้อ 1-4
  • การประจักษ์ของมนุษย์ ข้อ 5-7
  • การตอบสนองของมนุษย์ ข้อ 8

นมัสการ และพันธกิจ อิสยาห์ 6:1-8
  • สำแดงข้อ 1-4 (การสังเกต)
  • ประจักษ์ ข้อ 5-7 (การตีความ)
  • สนอง ข้อ 8 (การนำไปใช้)
     การนมัสการพระเจ้าเป็นการบรรลุเป้าหมายชีวิตและการทำพันธกิจนั้นเป็นการบรรลุเป้าหมายของการนมัสการ

อิสยาห์เห็นอะไร?
    อิสยาห์ได้เห็นพระสิริและความสง่างาม ความบริสุทธิ์ของพระผู้สร้างพระผู้ช่วยให้รอด องค์พระผู้เป็นเจ้าของจักรวาล ในการนมัสการ เหล่าทูตสวรรค์ต่างยกย่องความบริสุทธิ์ของพระเจ้าและประกาศว่าพื้นแผ่นดินโลกจะเต็มด้วยพระสิริของพระเจ้า
    เมื่ออิสยาห์ได้เห็นพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของความบริสุทธิ์ และทรงอำนาจ เขาได้ตระหนักถึงความบาปหนักหนาในชีวิตของเขาและความไม่มีคุณค่าทั้งไม่เห็นความหวังในสภาพที่เขาเป็นอยู่เลย แต่พระเจ้าทรงมีพระเมตตาเหนือเขาและทรงชำระเขาจากความบาปและความชั่วช้า และนั้นเป็นการที่พระเจ้าทรงชี้ให้เห็นถึงความอัศจรรย์และอำนาจแห่งพระคุณของพระองค์ เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าเขาได้รับอภัยโทษแล้ว ผลที่เกิดขึ้นเขาถวายทั้งชีวิตของเขาให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
    อิสยาห์ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ถามว่า ใครจะไปแทนพระองค์ในการเป็นผู้ประกาศเรื่องราวของพระองค์ อิสยาห์ไม่ลังเลใจ เขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะตอบสนองต่อพระเจ้าในการรับใช้พระองค์ในครั้งนี้ ผลที่เกิดขึ้นในการนมัสการส่วนตัวของเขานั้นคือความปรารถนาที่จะให้พระเจ้าทรงใช้ตามที่พระองค์ทรงเห็นว่าเหมาะสม นี้คือตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่พวกเราควรจะปฏิบัติตาม เมื่อเรานมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง (ยอห์น 4:24) ผลที่เกิดขึ้นคือ
  • เราตระหนักถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า และความบาปหนักนาของเรา
  • เราแสวงหาการยกโทษจากพระเจ้าและการที่พระเจ้าจะชำระความบาปผิดของเรา และ
  • เราถามพระเจ้าว่า เราสามารถมีส่วนในการบรรลุเป้าหมายของพระมหาบัญชาได้อย่างไร

ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า - ความบาปหนักหนาของเรา

     บ่อยครั้งที่เราตระหนักถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้าและความบาปหนักหนาของเราแต่เรากลับหยุดที่จะมอบถวายชีวิตของะราในการที่จะเชื่อฟังพระองค์ ถ้าปราศจากขั้นตอนสุดท้ายในการนมัสการ ก็หมายความว่า เราเปิดเผยท่าทีที่แท้จริงของเราต่อพระคุณและพระเมตตาของพระเจ้า โดยการที่เราละเลยที่จะตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระองค์ในการเชื่อฟัง ซึ่งผลที่เกิดขึ้น คือ เราไม่ได้บรรลุเป้าหมายในพันธกิจในชีวิตของเรา
     พันธกิจนั้นเป็นส่วนหนึ่งในการนมัสการเสมอ แม้ว่าพันธกิจหมายถึงการไปเยี่ยมเยียนคนป่วย การดูแลหญิงหม้าย การแบ่งปันข่าวประเสริฐ และถ้าปราศจากพันธกิจ การนมัสการของเราก็ไม่สมบูรณ์ พระสิริของพระเจ้า อำนาจของพระเจ้ารวมทั้งความบริสุทธิ์ของพระองค์ จะไม่สามารถสำแดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน ถูกต้องและจริงใจ แต่ถ้าถูกสำแดงอย่างชัดเจนนั้นการตอบสนองของเราก็เหมือนกับการตอบสนองของอิสยาห์และเราเองจะปรารถนาที่จะรับใช้พระองค์ในทุกสิ่งที่เรามีอย่างทันทีทันใด
      การสำนึกถึงความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เราสมควรจะได้รับ กับสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้กับเราโดยพระเมตตาและพระคุณของพระองค์ จะเป็นสิ่งที่กระตุ้นเราที่จะนมัสการพระเจ้าไม่ใช่แค่เพียงความคิดและคำพูดของเราแต่คือการตอบสนองด้วยใจเห็นว่าเหมาะสม ซึ่งการนมัสการของเราจะเสร็จสมบูรณ์โดยการเชื่อฟังต่อพระมหาบัญชาของพระองค์ เราเห็นว่า
  • •การนมัสการบรรลุเป้าหมายของชีวิตคริสเตียน
  • •พันธกิจบรรลุเป้าหมายในการนมัสการ และ การได้รับมงกุฎบรรลุเป้าหมายแห่งชีวิต
การนมัสการจะไม่สมบูรณ์ถ้าปราศจากการเชื่อฟังในการทำพันธกิจ
พระเจ้าทรงพอพระทัยการนมัสการที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่
เป็นคำถามที่สำคัญ คริสเตียนที่จริงจังต้องตอบคำถามนี้ได้

ฉันสามารถนมัสการพระเจ้าได้อย่างไร

แต่คุณอาจะพูดว่า แล้วฉันจะนมัสการพระเจ้าในทางไหนที่พระองค์จะสำแดงความบริสุทธิ์ พระสิริของพระองค์แก่ฉันและพระองค์จะทรงทำให้ฉันเห็นสภาพที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ความบาปในชีวิตของฉันที่ต้องสารภาพต่อพระองค์ และที่สุดนั้นอะไรคือสิ่งที่พระองค์จะให้ฉันทำ

     ในพระคัมภีร์ใหม่ เราได้เห็นอย่างชัดเจนว่า “แต่เราทั้งหลายไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว จึงแลดูพระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า และตัวเราก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เช่นอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นพระวิญญาณ” (2โครินธ์ 3:18) เมื่อเราเห็นพระสิริของพระเจ้าในองค์พระเยซูคริสต์ผ่านทางการอ่านและใคร่ครวญพระคำของพระองค์ เราได้รับการเปลี่ยนแปลงเหมือนกับอิสยาห์และเราสามารถที่จะติดตามคำสั่งของพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์ไม่ว่าจะให้เราทำอะไรโดยการเคลื่อนไหวขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์

พระคัมภีร์ 5 ตอนที่สำคัญ

      มีพระคัมภีร์ 5 ตอนที่มีจุดสำคัญอยู่ที่พระมหาบัญชา พระมหาบัญชานั้นอยู่ในพระกิตติคุณในมุมมองที่ต่างกันไปในแต่ละเล่มคำสัญญาที่สามารถทำให้พระมหาบัญชาสำเร็จได้เปิดเผยชัดเจนในพระธรรมกิจการของอัครทูต
พระมหาบัญชา
ข้อพระธรรม               จุดเน้น                          ส่วนที่ต้องเกี่ยวข้อง

มัทธิว 28:18-20       สร้างสาวก                            ฝึกและสอน
มาระโก 16:15-16    เทศนาและบัพติสมา                   ทุกคน
ลูกา 24:44-48         ประกาศกับชนทุกเผ่า           กลุ่มชนเผ่าต่างๆ
ยอห์น 20:21-22      ถูกส่งเหมือนพระเยซู                 แบบอย่าง
กิจการ 1:8               เป็นพยาน                        ฤทธิ์เดชของพระเจ้า

พระมหาบัญชา
     ขอให้เราดูรายละเอียดในพระมหาบัญชาในพระธรรม ลูกา 24:44-49 พระเยซูทรงอธิบายว่า“…จำเป็นต้องสำเร็จ” (พระคัมภีร์เดิมเป็นพระธรรมที่ยังคงมีอยู่ในช่วงเวลานั้น) การอธิบายของพระองค์ได้รวมพระคัมภีร์ 3 ตอนของพระคัมภีร์เดิมภาษาฮีบรูไว้คือ หมวดธรรมบัญญัติของโมเสส หมวดผู้เผยพระวจนะ และหมวดข้อเขียน (สดุดี) พระเยซูทรงเปิดเผยให้สาวกได้เข้าใจเพื่อที่พวกเขาจะได้เปรียบเทียบพระธรรมตอนนั้นที่กล่าวถึงแผนการของพระเจ้าที่มีมาถึงองค์พระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์ได้สำแดงให้เห็นถึงแผนการ 2 ขั้นตอน
     ขั้นตอนแรกคือการเสด็จมาบนโลกนี้ขององค์พระเยซูคริสต์เพื่อมารับความเจ็บปวดและตายบนไม้กางเขนและเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สมาเพื่อประทานการไถ่บาปและชีวิตนิรันดร์ให้กับทุกคนที่ได้เชื่อวางใจในความดี พระคุณ พระเมตตาและการอภัยโทษของพระเจ้า ขั้นตอนนี้เราจะเห็นว่าได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว
     ขั้นตอนที่สองยังไม่สำเร็จและยังคงมีอยู่ในปัจจุบันนี้ คือที่พระกิตติคุณจะถูกประกาศออกไปในทุกชนเผ่า ทุกภาษา และทุกเชื้อชาติ ขั้นตอนแรกได้นำพระเยซูคริสต์ไปถึงกางเขนที่พระองค์ทรงตายเพื่อไถ่บาปเรา ขั้นตอนที่สองยังคงดำเนินอยู่และยังมีส่วนให้ผู้เชื่อมากมายที่จะตอบสนองต่อพระมหาบัญชาและมีคนมากมายที่จะสนับสนุนในการออกไปของพวกเขาเหล่านั้น เราเองด้วยที่พระเยซูทรงสั่งว่าให้เราแบกกางเกนในทุกวัน ซึ่งนั้นคือน้ำพระทัยของพระเจ้าในชีวิตของเรา และตามพระองค์ไปนั้นคือการติดตามน้ำพระทัยของพระเจ้า (มัทธิว 28:18-20, มาระโก 8:34-35,16:15-16,ลูกา 24:27)

แผนการของพระเจ้า ลูกา 24:44-49
พระเยซูตรัสว่า...

“บรรดาคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสส และในหมวดผู้เผยพระวจนะและในหมวดสดุดีกล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ”


ครั้งนั้นพระองค์ทรงบันดาลให้ใจเขาทั้งหลายเกิดความสว่างขึ้นเพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์

“มีคำเขียนไว้อย่างนั้นว่า พระคริสต์จะต้องทรงทนทุกข์ทรมาน และทรงเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม        ลูกา 24:46

และ

“และจะต้องประกาศทั่วทุกประชาชาติในพระนามของพระองค์ ให้เขากลับใจใหม่รับการยกบาป ตั้งต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม   ลูกา 24:47


การกลับใจใหม่ และ การอภัยโทษ

       ในลูกา 24:46-48พระเยซูตรัสว่า “มีคำเขียนไว้อย่างนั้นว่าพระคริสต์จะต้องทรงทนทุกข์ทรมานและทั่วทุก
ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม และจะต้องประกาศประชาชาติในพระนามของพระองค์ให้เขากลับใจใหม่รับการยกบาปตั้งต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายเป็นพยาน
ด้วยข้อความเหล่านั้น” พยานที่สัตย์ซื่ออะไรที่เรามี และเราเป็นพยานอะไรในปัจจุบันนี้ ในประวัติศาสตร์มีหลายคนและองค์กรมากมายที่ได้เชื่อฟังต่อพระมหาบัญชา เขาเหล่านั้นยังคงพยายามในการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยการเอาใจใส่ แต่ก็มีหลายคนและหลายกลุ่มที่ได้ละเลย ผลที่เกิดขึ้นคือ จำนวนของมิชชันนารีที่ถูกส่งออกไปไม่สมดุลกับความต้องการ


การทนทุข์ของพระคริสต์

โคโลสี 1:24

เปาโลกล่าว่า:
บัดนี้ข้าพเจ้าปลื้มปิติในการที่ได้รับความทุกข์ยากเพื่อท่าน ส่วนการทนทุกข์
ของพระคริสต์ที่ยังขาดอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็ทนจนสำเร็จในเนื้อหนังของข้าพเจ้า
เพราะเห็นแก่พระกายของพระองค์คือคริสตจักร


ความรักของพระเจ้า ตามพระธรรม 1 ยอห์น

         อัครทูตยอห์นได้เขียนใน 1ยอห์น 3:16 “”ดังนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก โดยที่พระองค์ได้ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเราทั้งหลาย และเราทั้งหลายก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง” นี้คือแผนการที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีให้เราที่เราจะมีประสบการณ์ในความรักของพระองค์ผ่านความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่และเดินในการเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ และเราจะบรรลุเป้าหมายในการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริงผ่านพันธกิจในชีวิตของเรา


ปริทัศน์

1ยอห์น 3:16
“ดังนี้แหละเราจึงรู้จักความรักโดยที่พระองค์ได้ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเราทั้งหลายและเราทั้งหลายก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง”



ค่าใช้จ่ายสำหรับการประกาศทั่วโลก


ใช้จ่ายสำหรับการประกาศกับคนที่ใช้ภาษาอังกฤษมากกว่า 90%
(ซึ่งมีต่ำกว่า 10% ของประชากรทั้งหมด)


อีกไม่ถึง ใช้จ่ายกับคนที่พูดภาษาอื่นๆทั่วโลก
(ซึ่งมีภาษามากว่า 6,000 ภาษา)


            เงินที่ถวายให้กับการประกาศอยู่ที่ไหนในปัจจุบันนี้ เงินมากกว่า90% ถูกใช้ในกลุ่มคนที่พูดภาษาอังกฤษซึ่งมีประชากรน้อยกว่า 10% ของประชากรทั้งโลก ประชากรมากกว่า 90% ซึ่งมีมากกว่า 6000 กลุ่มภาษาได้รับเงินน้อยกว่า 10% ที่ได้ถวายมา มันยุติธรรมแล้วเหรอต่อคนที่ไม่เคยได้ยินข่าวประเสริฐในภาษาของตัวเอง หรือแม้กระทั่งไม่เคยได้ยินแม้ชื่อของพระเยซู


ผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลา

 


ใครคือคนที่ได้ยินข่าวประเสริฐ 

      ในปัจจุบันนี้ คนมากกว่าครึ่งโลกที่ยังไม่เคยได้ยินพระกิตติคุณขององค์พระเยซูคริสต์มี 20%ของประชากรโลกที่ได้ยินแล้วแต่ปฏิเสธไม่เชื่อ และมี 30% ที่ประกาศว่าตนเองเป็นคริสเตียน แต่ส่วนใหญ่ยังไม่บังเกิดใหม่ 


ความเป็นไปของพันธกิจโลกในปัจจุบัน


กลุ่มคนที่ข่าวประเสริฐยังเข้าไม่ถึง

เปาโลกล่าวว่าความปรารถนา(ใฝ่ฝัน มุ่งมั่น) คือประกาศข่าวประเสริฐในที่ซึ่งยังไม่มีใครออกพระนามพระคริสต์(โรม 15:20) เป็นเวลาหลายปีที่ท่านต้องการไปโรม แต่ก็ไม่ได้ไป เหตุผลส่วนหนึ่งคือที่โรมมีคริสตจักรอยู่แล้ว (โรม 1:13,15:22)

นิมิตของเปาโล"อันที่จริงข้าพเจ้าได้ตั้งเป้าไว้อย่างนี้ว่า จะประกาศข่าวประเสริฐ ในที่ซึ่งไม่เคยมีใครออกพระนามพระคริสต์มาก่อน" โรม15:20,15:18-28

 

 

 




เงินถวายทุกบาททุกสตางค์

ในประเทศอเมริกาทุกดอลล่าร์ที่ผ่านลงไปในถุงถวาย

3 เซนต์ไปยังกลุ่มคนที่มีคนทำงานอยู่แล้ว 96 เซนต์ใช้จ่ายไปกับกลุ่มคนที่อยู่ในวัฒนธรรมอเมริกา...
มีเพียงเซนต์เดียวที่ไปถึงพันธกิจกับกลุ่มชนที่ยังไม่มีใครเข้าถึง


ข้อมูลที่เป็นประโยชน์

         ข้อมูลอะไรที่จำเป็นสำหรับเราในการประกาศข่าวประเสริฐจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ (มัทธิว 24:1) ในปัจจุบันนี้ทั่วโลกมีคริสตจักรทั้งหมดประมาณ 7,000,000 คริสตจักร และตามที่ U.S. Center for World Mission ในเมืองพาซาดีน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ให้ข้อมูลว่ามีชนกลุ่มทั้งหมดประมาณ 10,000 กลุ่ม ซึ่งหมายความโดยประมาณการว่า จำนวนคริสตจักร 700 คริสตจักรต่อ 1 กลุ่มคนที่ข่าวประเสริฐยังเข้าไม่ถึง
          เป็นไปได้อย่างไรถ้าคริสตจักร 700 คริสตจักรนั้นจะไม่สามารถหามิชชันนารีที่จะส่งออกไปถึงผู้คนที่ไม่มีความหวังในเรื่องชีวิตนิรันดร์ ถ้าเราตัดคริสตจักรที่มีแต่เพียงคริสเตียนในนามออกไป ซึ่งเป็นพวกคริสตจักรเสรีนิยม คริสตจักรที่ตายแล้วต่อการทำตามพระมหาบัญชาของพระเจ้า และคาดการณ์ว่ามี 10% ของ 7,000,000 คริสตจักรที่ปรารถนาและพร้อมที่จะตอบสนองต่อคำสั่งขององค์พระเยซูคริสต์ นั้นก็หมายความว่าจะมีจำนวน 70 คริสตจักรที่ “ยุ่งในธุรกิจของพระบิดา” ในการหาทางที่จะให้ข่าวประเสริฐไปถึงคนที่เขาต้องการจริงๆ จริงหรือไม่ว่าคริสตจักร 70 แห่งนั้นจะไม่สามารถหาอย่างน้อยที่สุดมิชชันนารี 1 คนที่จะออกไปยังกลุ่มคนที่ข่าวประเสริฐยังเข้าไม่ถึงสักกลุ่มหนึ่ง



กลุ่มคนที่ข่าวประเสริฐยังไปไม่ถึงในปัจจุบันนี้



ทั่วโลก ประเทศไทย
คริสตจักร7,000,0003,000
กลุ่มคน10,00050
เฉลี่ย700 ต่อ 160 ต่อ 1

 

 

 

(ค่าเฉลี่ยโดยประมาณ)




กลุ่มคนที่ข่าวประเสริฐยังเข้าไม่ถึงในทวีปเอเชีย

         ในทวีปเอเชียมีชนกลุ่มที่ข่าวประเสริฐยังเข้าไม่ถึงทั่วทั้งประเทศอินเดีย เนปาล จนถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในอินโดนีเซียจนถึงปาปัวนิวกีนี บนแผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชียนั้นมีประชากรจำนวนมากในประเทศอินเดีย เนปาล พม่า ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม
         ในทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน พม่า ภาคเหนือของประเทศไทย ลาวและเวียดนามมีกลุ่มคนที่ข่าวประเสริฐยังเข้าไม่ถึงประมาณ 1000 กลุ่มและในกลุ่มเหล่านั้นมี ประมาณ 300 ภาษาที่ยังต้องการการแปลพระคัมภีร์ ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีอิสรเสรีภาพได้อยู่ตรงกลางของความต้องการเหล่านั้น และผลที่ตามมาคือเป็นโอกาสที่สำคัญที่จะใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการส่งคนออกไปให้ไปถึงกลุ่มคนที่ข่าวประเสริฐยังเข้าไม่ถึงเหล่านั้น



แผนปฏิบัติการ

 


เพื่อกลุ่มคนที่ข่าวประเสริฐยังเข้าไม่ถึง


* ปรารถนาที่จะเข้าถึงคนที่หลงหาย
* หาข้อเท็จจริง
* อธิษฐาน
* สร้างสัมพันธ์ และสื่อสาร
* วางแผนและร่วมมือ 


เราสามารถช่วยเหลืออะไรได้บ้าง

อะไรที่เราสามารถทำได้เพื่อให้พระมหาบัญชาสำเร็จท่ามกลางกลุ่มคนที่ต้องการข่าวประเสริฐ

- ปรารถนาอย่างสุดใจในการที่เข้าถึงคนที่หลงหายผ่านทางความรักขององค์พระเยซูคริสต์ในชีวิตของเราและตามการทรงนำของพระเจ้า ทำพันธผูกพันส่วนตัวของเราต่อการตอบสนององค์พระเยซูคริสต์ในการออกไปประกาศกับคนทุกชนชาติ ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกภาษา
- แสวงหาข้อเท็จจริง รายละเอียดต่างๆ เกี่ยงกับกลุ่มคนเหล่านั้นรวมถึงวัฒนธรรมและภาษาของพวกเขา
- อธิษฐานที่พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของทุ่งนาจะส่งคนงานของพระองค์มาทำงานในทุ่งนา (มัทธิว 9:37-38) ทั้งอธิษฐานอย่างเจาะจงที่กลุ่มคนที่ข่าวประเสริฐยังเข้าไม่ถึง เขาจะได้ยินพระกิตติคุณและได้รู้จักกับองค์พระเยซูคริสต์ (มัทธิว 14:14)
- พยายามในทุกทางที่จะสัมพันธ์กับกลุ่มคนที่ข่าวประเสริฐยังเข้าไม่ถึงในการที่จะสื่อสารพระกิตติคุณกับพวกเขา
- พยายามในทุกทางที่จะหาคริสเตียนที่มีภาระใจในกลุ่มคนที่ข่าวประเสริฐยังเข้าไม่ถึง โดยการอธิษฐานและแสวงหาการทำงานค่วมกันกับพวกเขาในแผนการของพระเจ้าที่เฉพาะเจาะจงตามการทรงนำของพระเจ้า ในทางที่จะให้ข่าวประเสริฐไปถึงคนที่เขาเหล่านั้นก่อนที่เขาจะไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ชั่วนิรันดร์


-สุดท้ายนี้ ติดต่อข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ wycliffle_thailand@wycliffe.orgwycliffle_thailand@wycliffe.org และทางเรามีแผนที่โลก(ภาษาไทย-อังกฤษ) แจกฟรีสำหรับท่านที่ต้องการ


โปรติดต่อ....

พันธกิจพระคุณนานาชาติ

6 ธนุษย์พงศ์
ซอย 6 หนองป่าครั่ง
เชียงใหม่ 50000
โทร. 086-866-2243
Email: henrymatb@gmail.com


Contact..
GRACE INTERNATIONAL MISSION
Director
Henry Matthew Breidenthal
6 Soi 6 Thanutphong
Chiang Mai 50000 Thailand
Tel : 086-866-2243
E-mail : henrymatb@gmail.com , http://thaipeoples.blogspot.com

ที่มาและจุดจบของมนุษย์

มนุษย์มาจากไหนและเรื่องราวของมนุษย์จะจบลงอย่างไร ทั้ง 2 คำถามนี้อยู่ในใจของมนุษย์ทุกคนทั้งในอดีต ปัจจุบันและคงจะอนาคตด้วย ซึ่งไม่มีคำตอบใดจุใจ หรือให้ความเชื่อมั่นได้เท่ากับหนังสือเล่มหนึ่ง เป็นเล่มแรกและเล่มเดียวในโลกที่เขียนเรื่องความเป็นมาของมนุษย์ตั้งแต่แรก เริ่มจนกระทั่งจบอย่างสมบูรณ์ และเรื่องที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันได้ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้องเป็นจริง


หนังสือเล่มนี้เป็นสัญญาผูกพันระหว่าง 2 ฝ่ายคือผู้ซึ่งเราเรียกว่ามนุษย์ เพื่อยืนยันให้มนุษย์เชื่อและไว้ใจในความรัก และการช่วยกู้ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์
หนังสือสัญญาเล่มนี้หรือที่เราเรียกว่าไบเบิ้ลหรือพระคริสตธรรมคัมภีร์บันทึกไว้ว่า






เมื่อเริ่มต้น พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่ง ทั้งฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลกกับสารพัดทั้งหมดที่อยู่บนโลก ต้นไม้ สัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์ทะเล ฯลฯ และมนุษย์ผู้ที่พระเจ้าทรงสร้างมาเพื่อให้ครอบครองจัดการทุกอย่างในโลก พระองค์สร้างมนุษย์ตามแบบอย่างของพระองค์เอง มีความสามารถมากมายซึ่งนักค้นคว้าบอกว่ามนุษย์ปัจจุบันใช้ความสามารถแค่ 1 ใน 10 ของที่มีอยู่เท่านั้น คอมพิวเตอร์ที่เราชื่นชมในความสามารถยังทำงานได้แค่ 1 ใน 100 ของสมองมนุษย์ คุณสมบัติอย่างอื่นๆ ที่มนุษย์เหมือนพระเจ้า คือมีวิญญาณรู้จักตัดสินใจ มีเสรีภาพทางความคิด มีอารมณ์ มีการิเริ่มสร้างสรรค์ มีความรัก และสำคัญที่สุดคือมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างอบอุ่น

เมื่อเริ่มแรกมนุษย์มีแต่ความดีงาม ความสุข ความบริบูรณ์ไม่ขาดตกบกพร่องเลยเพราะพระเจ้าสร้างมาให้เหมือนพระองค์ ทุกอย่างล้วนดีทั้งสิ้น



ต่อมา สิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นตัวอีกชนิดหนึ่งคือมารซึ่งเป็นวิญญาณชั่วตั้งตัวเป็นศัตรูกับพระเจ้าและกับ
มนุษย์ที่พระเจ้ารัก ได้ล่อหลอกให้มนุษย์หลงทำผิดบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า และไม่ยอมรับผิดไม่ยอมกลับใจ แต่หลบหนี และแก้ตัวโยนความผิดให้คนอื่น จึงต้องรับโทษตามความผิดของตน

 

มนุษย์ขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ให้แต่สิ่งดีหันมาเป็นทาสของมาร อยู่ใต้อำนาจวิญญาณชั่วร้ายนี้เพราะยอมเชื่อฟังมัน เมื่อเราเชื่อฟังผู้ใดเราก็เป็นทาสของผู้นั้น มารซึ่งมีธรรมชาติทำแต่สิ่งเลวร้าย มันมาเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย มันจึงทำทุกวิถีทางที่จะให้มนุษย์ทุกข์ยาก ลำบากขาดความสุข

พระเจ้าผู้สร้างได้ทำสัญญากับมนุษย์ที่ไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์นั้นว่าจะให้ ผู้ช่วยมากู้มนุษย์พ้นจากอำนาจของมาร โดยพงศ์พันธุ์ของหญิง เพราะพระเจ้าทราบดีว่ามนุษย์ไม่อาจช่วยตัวเองให้หลุดจากเงื้อมมือมารได้

เมื่อมนุษย์คู่แรกคืออาดัม และเอวาทำบาปลูกหลานที่ออกมาภายหลังจึงเป็นพงศ์พันธุ์บาปมีธรรมชาติบาปติด ตัว คือ สามารถทำบาปได้ง่ายกว่าทำดี และมารศัตรูตัวสำคัญก็คอยส่งเสริมสนับสนุนให้มนุษย์ทำความชั่วร้ายมากขึ้นๆ ทุกวัน มนุษย์ซึ่งเคยมีแต่ความดีงามจึงกลายเป็นมนุษย์ที่รู้จัก เกลียด โกรธ อิจฉา ตะกละ ทารุณ โหดร้าย ขาดความยับยั้งชั่งใจ ลูกของอาดัมและเอวาชื่อคาอินนั้นฆ่าแม้กระทั่งน้องชายของตนที่ชื่ออาแบ ลเพราะความริษยา

คนในชั่วอายุต่อๆ มาก็ทำบาปเลวร้ายต่อกันจนพระเจ้าต้องพิพากษาลงโทษ โดยกำหนดให้มีน้ำท่วมโลกกวาดล้างทุกชีวิตหมดสิ้นไปเหลือไว้ครอบครัวเดียวที่ เป็นคนดียำเกรงเชื่อฟังพระเจ้า คือโนอาห์พระเจ้าบอกโนอาห์ล่วงหน้าไว้ 120 ปี เพื่อให้เตรียมตัวต่อเรือใหญ่และประกาศให้มนุษย์กลับใจเลิกทำบาปหันมาหาพระ เจ้าแล้วจะรอดจากภัยน้ำท่วมนั้น

แต่ไม่มีใครเชื่อโนอาห์เลย 120 ปีต่อมาหลังจากพระเจ้าเตือนให้ทราบล่วงหน้าก็เกิดน้ำท่วมโลก ทุกอย่างตายหมด มีโนอาห์และครอบครัวกับสัตว์ที่โนอาห์ขนขึ้นไว้บนเรือเท่านั้นที่รอดชีวิต

มนุษย์ที่รอดจากภัยน้ำท่วมได้ออกลูกหลานเพิ่มปริมาณขึ้นอีกและพวกเขายังคงทำ บาปต่อไป พระเจ้าสั่งให้พวกเขากระจายกันออกไปทั่วโลก แต่พวกเขากลับรวมตัวกันสร้างหอคอยสูง โดยจะให้ถึงสวรรค์เพราะความเย่อหยิ่ง อยากแสดงอำนาจเทียมพระเจ้า พระเจ้าจึงทำให้เขาพูดภาษาต่างๆ กันจนพูดไม่รู้เรื่อง ต้องแยกย้ายกันไปโดยปริยาย โลกนี้มีภาษามากมายหลายพันภาษา ซึ่งส่วนมากไม่มีหลักฐานที่มา และไม่ได้พัฒนาจากง่ายไปหายาก ตรงกันข้ามบางภาษาในปัจจุบันยังง่ายกว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนเสียอีก






ท่ามกลางมนุษย์ที่หลงเพลิดเพลินกับบาปความเลวทราม ในปีที่ 2000 ก่อนคริสตศักราช พระเจ้าทรงเรียกชายคนหนึ่งชื่ออับรามออกมาจากคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า และสัญญาว่าจะให้เขาเป็นชนชาติใหญ่ มีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป แล้วเขาจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร พระเจ้าจะอวยพรแก่คนที่อวยพรเขา สาปแช่งคนที่สาปแช่งเขา เผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเขา อับรามเชื่อฟังยอมเดินทางไปยังดินแดนที่พระเจ้ามอบให้ พระเจ้าสัญญาอีกว่า พงศ์พันธุ์ของอับรามจะมากมายเหมือนดาวบนฟ้า แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นอับราฮัม แปลว่า บิดาของประชาชาติมากมาย และแม้อับราฮัมจะอายุร้อยปี และภรรยาก็เป็นหมัน พระเจ้ายังบอกว่าจะให้นางคลอดบุตรผู้จะรับพระตามพันธสัญญานี้ ซึ่งเป็นจริงตามที่พระเจ้าสัญญา ครั้นบุตรของอับราฮัม ชื่อ อิสอัคโตขึ้น พระเจ้าลองใจโดยให้นำบุตรไปฆ่าถวายบูชาแด่พระเจ้าอับราฮัมทำตาม แต่ก่อนจะฆ่าพระเจ้าห้ามไว้ และอวยพรแก่เขาเพิ่มเติมโดยสัญญาว่า เชื้อสายของเขาจะได้ประตูเมืองศัตรูเป็นกรรมสิทธิ์ ประชาชาติทั่วโลกจะได้พรเพราะเชื้อสารของเขา

สัญญาของพระเจ้าเป็นจริงทุกประการ จากอิสอัคบุตรชายคนเดียวของอับราฮัมกลายมาเป็นชนชาติใหญ่คือ ชนชาติยิวหรืออิสราเอลและตลอดประวัติศาสตร์ของชาตินี้ พระเจ้าดูแลคุ้มครองและทำตามสัญญาของพระองค์เสมอ เพื่อโลกจะรู้ว่ามีพระเจ้าเที่ยงแท้ สัจจริงแต่ผู้เดียวผ่านทางชนชาตินี้

จากอิสอัคสืบเชื้อสายมาถึงโมเสสคนสำคัญในประวัติศาสตร์ยิวอยู่ในปี 1500 ก่อนคริสตศักราช พวกยิวขยายตัวขึ้นเป็นชาติๆ หนึ่ง และขณะนั้นอาศัยอยู่ในประเทศอียิปต์ในสภาพของทาส ชาวยิวผู้ทุกข์ยากกลับคิดถึงพระเจ้าผู้ช่วยกู้ชนชาติของพวกเขามาตลอด จึงร้องวิงวอนต่อพระองค์ พระเจ้าเรียกโมเสสมาช่วยนำชาวยิวพ้นจากทาส เข้าสู่ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ และพระเจ้าให้บัญญัติ คือ คำสั่ง 10 ข้อ สำหรับชาวยิวไว้ปฏิบัติ ซึ่งแท้จริงเป็นพื้นฐานหลักการดำเนินชีวิตของทุกคนมิใช่เฉพาะพวกยิวเท่านั้น บัญญัติประการแรกที่สำคัญที่สุดคือ “เราเป็นพระเจ้าของเจ้า อย่ามีพระเจ้าอื่นใดต่อหน้าเรา” ที่พระเจ้ากำหนดเช่นนี้เพื่อประโยชน์ของมนุษย์เพราะนอกจากพระเจ้าองค์นี้ แล้วไม่มีพระอื่นใดช่วยมนุษย์ให้รดปลอดภัยมีชัยชนะเหนือมารได้เลย แต่มนุษย์ไม่เคยทำตามบัญญัติได้สำเร็จและไม่มีทางช่วยตนให้รอดพ้นจากความผิด บาปได้เอง
 

1500 ปีผ่านไป สัญญาของพระเจ้าที่บอกไว้เมื่อครั้งอาดัม และเอวาทำบาปว่าจะส่งผู้ช่วยมาโดยเกิดจางพงศ์พันธุ์ของหญิง และสัญญาที่ให้ไว้แก่อับราฮํมว่าประชาชาติจะได้รับพรเพราะเชื้อสายของเขาก็ สำเร็จเป็นจริง คืพระเจ้าส่งพระบุตรของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ โดยพระวิญญาณของพระเจ้าส่งกระแสพลังงานเข้าไปในครรภ์ของหญิงพรหมจารีคนหนึ่ง ชื่อมารีย์ คลอดบุตรมาเป็นชายชื่อ เ
ยซูแปลว่าผู้ช่วยให้รอด




พระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ และถูกลองใจเหมือนพวกเราทุกประการ แต่ถึงอย่างนั้นพระองค์ก็ไม่ได้ทำบาปเลยนั้นแหละจึงช่วยคนบาปให้รอดได้ มนุษย์ทั้งโลกช่วยกันไม่ได้ เพราะต่างก็ทำบาปล้วนสมควรตายด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนพระเยซูแม้ต้องมาเป็นมนุษย์มีสภาพถูกจำกัดทุกอย่างเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่พระองค์ยังคงเชื่อฟังพระเจ้า และทำทุกอย่างด้วยความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า ไม่ละเมิดกฎใดๆ มารร้ายซึ่งมีธรรมชาติปกติคือต้องทำบาปจึงดลใจให้คนเอาพระเยซูไปฆ่าโดย พระองค์ยินยอมไม่ปริปากเลย







เมื่อพระเยซูสิ้นชีวิตบนไม้กางเขน นั้นแหละคือแผนการกู้โลกได้สำเร็จลง มารรายซึ่งทำชั่วทำบาปจนเหลิง ถึงขั้นฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างพระเยซู จึงต้องถูกปรับโทษ คำสัญญาที่พระเจ้าบอกอับราฮัมว่า เชื้อสายของเขาจะได้ประตูเมืองศัตรูเป็นกรรมสิทธิ์ก็สำเร็จสมบูรณ์ในพระเยซู ศัตรูของมนุษย์คือมารที่คอย ลัก ฆ่า ทำลาย คอยฉุดคนไปลงนรกร่วมกับมัน บัดนี้หมดอำนาจ เพราะพระเยซูได้เป็นขึ้นจากตายในวันที่สาม พระองค์ยึดประตูนรกไว้เป็นกรรมสิทธิ์ ความตายไม่มีชัยเหนือมนุษย์ที่เชื่อศรัทธาในพระองค์อีกต่อไป พระเยซูชนะเด็ดขาด และช่วยมนุษย์ให้พ้นอำนาจเลวร้ายของมารได้ ยิ่งกว่านั้นยังถ่ายทอดพลังอำนาจแก่ผู้เชื่อศรัทธาให้ปราบและกำจัดมารออกจาก ชีวิตของตนและผู้อื่นได้อีกด้วย คนที่เชื่อพระเยซูคริสต์จึงเป็นคนที่ตายจากตนเองแล้ว และบังเกิดใหม่ทางวิญญาณเกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป(ไม่มีเจตนาทำบาปอีกต่อไป) แต่พระบุตรของพระเจ้าได้คุ้มครองรักษาเขา และมารร้ายไม่แตะต้องเขาเลย ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรก็ไม่มีชีวิต ทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าก็มีชัยต่อโลก และความเชื่อของเรานี่แหละเป็นชัยชนะที่ชนะโลก ใครเล่าชนะโลก ไม่ใช่คนอื่นคือผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้านั่นเอง





นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นความจริงสำหรับผู้เชื่อ ยังมีความจริงอีกประการหนึ่งซึ่งยังไม่เกิดขึ้นแต่ต้องสำเร็จแน่นอน คือพระเยซูคริสต์จะกลับ
มาปรากฏในโลกอีกครั้งรับผู้เชื่อทุกคนขึ้นไป และคนที่ไม่เชื่อต้องรับทุกข์ภัยซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้อยากตายก็ยังตายไม่ได้ในวาระสุดท้ายพระเจ้าทรงกำหนดวันพิพากษาเอาไว้ ผู้ที่เชื่อฟังพระเจ้าจะร่วมกับพระองค์พิพากษาโลก พิพากษาเทพทั้งหลาย เจ้าทั้งปวง มนุษย์ทุกคนจะถูกพิพากษาตามการกระทำของตน และถูกโยนทิ้งในบึงไฟนรกซึ่งมีไฟเผาอยู่ตลอดกาลร่วมกับมารและสมุนพรรคพวกของ มัน






บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะเหยียบเจ้าตัวที่มันเคยเหยียบย่ำเรามาตลอด เราจะไม่ยอมหลุดจากทาสมาเป็นอิสระหรือ
พระเยซูคริสต์กล่าวว่า เราเป็นทางนั้นเป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดา(พระเจ้า) ได้นอกจากมาทางเรา.. ในผู้อื่นความรอด(การพ้นจากนรก พ้นอำนาจมาร และการชนะมาร)ไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ ทั่วใต้ฟ้า